การรวบรวมองค์ความรู้ เรื่อง ปัสสาวะบำบัด (Urine Therapy)
เขียนโดย นางจุฑา ลิ้มสุวัฒน์
นักวิชาการสาธารณสุข
ปัสสาวะบำบัด (Urine Therapy) คือ การใช้ปัสสาวะของตัวเองเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรค โดยไม่ใช้ยาและยังช่วยส่งเสริมสุขภาพด้วย
ขออัญเชิญเดชะบารมี พระมหาอิทธิฤทธิ์ บรมครูแพทย์ชีวกโกมารภัจ
จงประทานยาทิพย์ และประสิทธิ์ประสาทให้โรคหายทันใจ
สวาหะ นะอะ นะวะ โรคาพยาธิ วินาสสันติ
พุทโธ โรคา อัปเปหิ สวาหายะ
พุทธังเป็นยา ธัมมังรักษา สังฆังหาย
ที่มา:
https://www.youtube.com/watch?v=FEHXmRVe-xs สามารถดู Comment ได้
ประวัติของปัสสาวะบำบัดตำราไทยโบราณหลายเล่ม กล่าวถึงการใช้ปัสสาวะรักษาโรคในพระวินัยปิฎกเขียนไว้ว่า พระภิกษุปฏิบัตินิสสัยสี่ให้ฉันน้ำมูตรแช่ผลสมอเพื่อแก้โรคต่างๆ เมื่อพันปีก่อนคริสต์ศักราชในคัมภีร์พระเวทย์ของฮินดู ถือว่าน้ำปัสสาวะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ดื่มแล้วจะเป็นน้ำอมฤต ในตำราการแพทย์จีน เขียนขึ้นช่วง พ.ศ.586-754อ้างว่าปัสสาวะเป็นตัวละลายยาสมุนไพร ช่วยทำให้สมุนไพรมีสรรพคุณดียิ่งขึ้น
- พ.ศ.600 ปรินุส นักปราชญ์ชาวโรมัน แต่งตำราว่าด้วยปัสสาวะเป็นยารักษาพิษต่างๆ และใช้ประโยชน์ในการฟอกหนัง ย้อมสีผ้า
- พ.ศ.1782-1832 ญี่ปุ่นยุคอิมเป็ง ดื่มน้ำปัสสาวะในการรักษาโรค
การศึกษาส่วนประกอบของน้ำปัสสาวะปกติปัสสาวะเป็นกรดอ่อนๆ จะมีสีเหลืองอ่อนๆ ไปจนถึงขาวใสถ้าปริมาณปัสสาวะน้อย ปัสสาวะก็จะข้นและมีสารในนั้นมากกว่าปัสสาวะใสขึ้นกับอาหารที่รับประทานและสุขภาพของคนนั้น มีกลิ่นเหมือนแอมโมเนียอาหารที่รับประทานเข้าไปก็ทำให้มีกลิ่นได้ ปัสสาวะของคนปกติจะมีรสเค็มๆถ้าปัสสาวะเข้มมากอาจมีรสขมนิดๆซึ่งสิ่งที่เรารับประทานเข้าไปยังมีผลต่อสีและรสของปัสสาวะด้วยในคนที่เป็นโรคดีซ่านปัสสาวะจะมีสีเหลืองขมิ้นกระทั่งเป็นสีน้ำตาลคนที่เป็นโรคไตหรือทางเดินปัสสาวะก็อาจขุ่นหรือเป็นสีแดงถ้ามีเม็ดเลือดแดงออกมากับปัสสาวะด้วย
จากการวิจัยของ ดร.ฟารอน นักชีวเคมี พบสารต่างๆ ในปัสสาวะ 95% เป็นน้ำ2.5% เป็น urea และ 2.5% เป็นสารอื่นๆ เป็นส่วนผสมของเกลือแร่ เกลือฮอร์โมน เอ็นไซม์ และภูมิคุ้มกัน ซึ่งแยกตามส่วนประกอบ ในน้ำปัสสาวะ 100cc. มี
- Urea nitrogen 682 ม.ก.
- Urea 1,459 ม.ก.
- Creatinine nitrogen 36 ม.ก.
- Creatinine 97.20 ม.ก.
- Uric acid nitrogen 12.30 ม.ก.
- Uric acid 36.90 ม.ก.
- Amino nitrogen 9.70 ม.ก.
- Ammonia nitrogen 57 ม.ก.
- Sodium 212 ม.ก.
- Potassium 137 ม.ก.
- Calcium 19.50 ม.ก.
- Magnesium 11.30 ม.ก.
- Chloride 314 ม.ก.
- Total sulphate 91 ม.ก.
- Inorganic sulphate 83 ม.ก.
- Inorganic phosphate127 ม.ก.
ที่น่าสนใจในปัสสาวะมีสารอื่นๆ ได้แก่ เอนไซม์: Amylase (diastase), Lactic dehydrogenase (LDH), Leucine amino-peptidase(LAP) และ Urokinase(ใช้ละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจตันเฉียบพลัน) ฮอร์โมน:Catecholamines, 17–Catecholamine, Hydroxy–steroids, Erythropoietin, Adenylate cyclase, Prostaglandins, Growth hormones, ฮอร์โมนเพศ, อินซูลิน ฯลฯ
แต่นักวิจัยเชื่อว่ายังมีสารที่เรายังไม่รู้จักอีกมากในปัสสาวะ
การรักษาโรค ดร.อัสเบิร์ต เซนต์ กีออร์กี นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลทดลองใช้สารmethyl gloxalซึ่งพบในปัสสาวะรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งและได้ผลเป็นที่น่าพอใจในหลายราย
สารต่างๆเหล่านี้แม้จะมีปริมาณน้อยในปัสสาวะแต่พบว่าอยู่ในรูปแบบที่มีศักยภาพสูงเมื่อดื่มเข้าไปจะซึมผ่านเยื่อบุกระเพาะอย่างรวดเร็วและเกิดผลต่อร่างกาย
งานวิจัยชิ้นใหญ่ของ
นพ.ธรรมาธิกรี รัฐมหาราษฎร์ประเทศอินเดียได้ทดลองให้ผู้ป่วยจำนวน 200 คนดื่มน้ำปัสสาวะของตนเองและติดตามผลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิดได้ข้อสรุปดังนี้
1. เมื่อดื่มน้ำปัสสาวะช่วยให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้น และอัตราเผาผลาญในร่างกายสูงขึ้น
2. การดื่มน้ำปัสสาวะจะช่วยให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้นในผู้ป่วยทุกราย และปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดก็สูงขี้นด้วยเขาเชื่อว่าข้อสรุป 2 ประการนี้สำคัญมากช่วยให้เกิดการบำบัดรักษาโรคและอาการเจ็บป่วยได้หลายกรณีด้วยกลไกของเอนไซม์ ฮอร์โมนและเกลือแร่และช่วยให้ภูมิต้านทานดีขึ้นอีกด้วย
การวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาว Australia 2 คน พบว่าเมื่อดื่มปัสสาวะจะทำให้มีสมาธิ จิตใจสดชื่นอารมณ์ดีขึ้นแจ่มใสเพราะในปัสสาวะมีฮอร์โมน ชื่อ Melatonin ซึ่งพบในปัสสาวะตอนเช้า
ในงานวิจัยค้นพบว่าปัสสาวะของแต่ละคนจะมีผลต่อการทำงานในร่างกายของแต่ละคนโดยจะทำหน้าที่เป็นวัคซีนธรรมชาติ เป็นตัวต่อต้านแบคทีเรียและไวรัสต่อต้านสารก่อมะเร็ง ทำให้เกิดความสมดุลกับฮอร์โมนและช่วยเรื่องภูมิแพ้(ปัสสาวะทำหน้าที่เป็น natural vaccine, antibacterial, antiviral, anti-cancer agents, hormone balance, allergy relievers)
วิธีการใช้ปัสสาวะบำบัด มี 2 แบบ คือ 1. แบบใช้ภายใน ดื่ม - ดื่มปัสสาวะตอนเช้า ช่วงกลางของปัสสาวะ โดยเริ่มต้นจาก 5-10 หยดก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มจนถึง 1 แก้ว ประมาณ 100 cc.มีประโยชน์ในการรักษาโรคทั่วไป
ล้างพิษ - ดื่มปัสสาวะตลอดทั้งวัน (ยกเว้นตอนเย็น) และดื่มน้ำสะอาดด้วยเป็นการล้างพิษออกจากร่างกาย โดยทำให้เลือดสะอาดขึ้นพิษจะถูกกำจัดออกจากร่างกายทางอุจจาระ เหงื่อ และทางหายใจ
กลั้วคอ - เมื่อมีอาการเจ็บคอ ปวดฟัน และเมื่อมีอาการไอเป็นหวัด
สวนทวาร (Detoxification) - โดยการสวนปัสสาวะเข้าไปในทวารเพื่อล้างลำไส้และเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย หยอดหู, ตา เมื่อมีอาการหูและตาอักเสบโดยการใช้ปัสสาวะผสมกับน้ำสุกที่สะอาดหยอดหูและตา
สูดเข้าจมูก สูดเอาปัสสาวะสดๆ ตอนเช้าเข้าจมูกทั้งสองข้างเพื่อล้างโพรงจมูก สำหรับคนที่เป็นไซนัส เป็นหวัด ภูมิแพ้(น้ำมูกไหลเป็นประจำ)
2. แบบใช้ภายนอก ทาและนวดผิวหนัง โดยการนวดร่างกายทั้งหมดหรือบางส่วนทิ้งไว้ประมาณ 1ชั่วโมง แล้วล้างออก จะช่วยรักษาโรคผิวหนังได้หรือผิวหนังที่โดนแดดเผา
ล้างเท้า กรณีมีปัญหาที่ผิวหนังและเล็บเท้า
สระผม ช่วยทำให้ผมสะอาด นุ่มสลวย และทำให้ผมดกขึ้น
ปัสสาวะสามารถรักษาอาการปวดหลัง แผล แผลไฟไหม้ ภูมิแพ้ หืดหอบ ไมเกรนมะเร็ง ผิวหนังผื่นแพ้ กามโรค ปวดตามข้อ โรคเก๊าส์ ท้องผูก มาลาเรีย หวัดตับอักเสบ ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง ความดันโลหิตสูง ฯลฯ
การประเมิน 1. ด้านความปลอดภัย (Safety)นักวิจัยเชื่อว่าปัสสาวะโดยธรรมชาติเป็นน้ำสะอาดปราศจากเชื้อและมีสารประกอบพิเศษมากมายที่มีประโยชน์ทางการแพทย์ไม่เคยมีรายงานว่าคนดื่มน้ำปัสสาวะแล้วตายและการดื่มน้ำปัสสาวะไม่มีผลข้างเคียง
2. ด้านประสิทธิผล (Efficacy) โรคที่ได้ผลดีจากปัสสาวะบำบัด - โรคหอบหืดและภูมิแพ้
- ท้องผูกเรื้อรัง ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ
- พวกบิดเรื้อรังจากเชื้ออมีบา
- โรคมะเร็งบางรายขึ้นกับระยะของโรค
- โรคทั่วไป เช่นโรคผิวหนัง, โรคหวัด, ไอเรื้อรัง, หลอดลมอักเสบ, ไข้จากเชื้อไวรัส และแเบคทีเรีย
ตัวอย่างผู้ป่วยใช้ปัสสาวะบำบัด ผู้ป่วยรายแรก เป็นชายอายุ 40 ปี ป่วยเป็นหอบหืดมาตั้งแต่เด็กแพทย์แนะนำให้ใช้ปัสสาวะบำบัดและผู้ป่วยรายนี้ได้กินอาหารแบบธรรมชาติบำบัดร่วมด้วยผู้ป่วยรายนี้หายจากการเป็นหอบหืดในเวลา 10 เดือน
ผู้ป่วยรายที่สอง เป็นชายป่วยด้วยโรคสะเก็ดเงิน เขาได้ใช้ปัสสาวะบำบัดอาการเริ่มดีขึ้นใน 6 สัปดาห์ และหายดีในระยะเวลา 4 เดือน
ผู้ป่วยรายที่สาม มาร์ธา คริสตี้เธอป่วยเป็นเวลานานด้วยการอักเสบในอุ้งเชิงกราน เป็นแผลในลำไส้ใหญ่อ่อนเพลีย เรื้อรัง โรค Hashimoto’s และ โรค Mononucleosisติดเชื้อในไตเรื้อรัง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นเชื้อราในช่องคลอดมีเนื้อเยื่อมดลูกเจริญผิดที่ มีภาวะต่อมหมวกไตทำงานน้อยกว่าปกติหูชั้นกลางและไซนัสอักเสบ และยังแพ้อาหารและสารเคมีอีกหลายอย่างซึ่งอาการป่วยของเธอที่เล่ามานี้ยังไม่ได้ครึ่งของโรคต่างๆที่เธอเป็นมาร์ธาได้รับการรักษาและผ่าตัดหลายครั้งหมดค่ารักษาทั้งสิ้นนับแสนดอลลาร์แต่อาการป่วยของเธอก็คงเดิม
วันหนึ่งสามีของเธอซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับวิธีรักษาทางธรรมชาติที่แปลกประหลาดและเธอไม่เคยได้ยินมาก่อนซึ่งมีคนที่รักษาแล้วหายเธอเริ่มทดลองรักษาตัวเองในวันแรกนั้นอาการท้องผูกเรื้อรังและอาการปวดท้องรุนแรงและปวดในอุ้งเชิงกรานก็หายไปต่อมาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบการติดเชื้อราทั้งภายนอกและภายในก็ค่อยๆหายไปภาวะแพ้อาหาร อาการเหนื่อยง่าย และอาการทางลำไส้ก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆภายหลังการรักษาตนเองอยู่ 2-3 เดือน การเจ็บคอบ่อยๆและเป็นหวัดง่ายก็เริ่มดีขึ้น เส้นผมที่หลุดร่วงเป็นกำๆภายหลังจากการผ่าตัดครั้งที่ห้าของเธอก็เริ่มจะมีเส้นผมที่งอกใหม่จนเธอมีเส้นผมที่ดกและเงางามอีกครั้งหนึ่งน้ำหนักเพิ่มขึ้นจนเข้าสู่ภาวะปกติมีเรี่ยวแรง ซึ่งโรคที่รุมเร้าเธอมา 30ปี ก็หายไปหมดสิ้น
วิธีรักษาที่แปลกประหลาดซึ่งเธอทำอยู่ก็คือการดื่มน้ำปัสสาวะมาร์ธาได้เขียนคำอธิบายไว้ในหนังสือ
“Your Own PerfectMedicine” และสอนผู้อื่นให้บำบัดโรคด้วยปัสสาวะ
3. ด้านความสมประโยชน์ (Cost – effectiveness)จากการศึกษาทางวิชาการพบว่าปัสสาวะบำบัดให้ประโยชน์แก่ผู้รับการบำบัดซึ่งไม่มีผลเสีย และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ การใช้ประโยชน์ในประเทศต่างๆประวัติของปัสสาวะมีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณซึ่งมีชาวกรีกบางคนใช้ปัสสาวะเพื่อบำบัดรักษานางแบบโดยเฉพาะแพทย์อังกฤษชื่อแซลมอนได้พิมพ์ตำราแพทย์ในปี ศ.ศ.1695 เรื่อง Salmon’sEnglish Physicianระบุถึงการใช้ปัสสาวะเพื่อรักษาแผลและรักษาอาการป่วยอย่างอื่นๆ อีกมากมายและเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว ที่ชาวยิปซีในยุโรปทราบถึงคุณสมบัติของปัสสาวะในการรักษาโรคและยังมีโยคีและพระลามะในธิเบตต่างก็มีอายุยืนยาวเพราะดื่มปัสสาวะของตัวเอง
จอห์น ดับบลิว อาร์มสตรองเป็นชาวอังกฤษซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่สนับสนุนปัสสาวะบำบัดเขาเขียนหนังสือเรื่อง The Water of Life: A Treatise On urine Therapyหรือน้ำแห่งชีวิตในหนังสือนี้บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่นมะเร็ง เบาหวาน วัณโรค โรคเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ โรคไบรท์มีปัญหาที่กระเพาะปัสสาวะ มาลาเรีย ไข้ แผล แผลไฟลวก โรคเกี่ยวกับหลอดลมและ โรคอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งรักษาให้หายได้ด้วยการอดอาหารหลังดื่มปัสสาวะระหว่างการอดอาหารนั้นการดื่มปัสสาวะจะช่วยเสริมสร้างและปรับสภาพอวัยวะที่สำคัญต่างๆรวมทั้งลำไส้ ปัสสาวะบำบัดใช้รักษาทุกโรคด้วยวิธีการอย่างเดียวกันหมด
หลักฐานในเอนซัยโคลพีเดียของเยอรมัน (Johann Heinrich Zedler’s GrossenVollst Indigen Universallexikon, ค.ศ.1747)ซึ่งบอกว่าในน้ำปัสสาวะของทั้งคนและสัตว์มีสารที่มีประโยชน์หลายชนิดปัสสาวะของคนมีผลเสริมสร้างความแข็งแรงและรักษาโรคปัจจุบันมีหนังสือที่เขียนและตีพิมพ์ในเยอรมัน ซึ่งเขียนโดย นักบำบัดบ้างแพทย์บ้าง ที่กล่าวถึงข้อดีของปัสสาวะบำบัด
มีการประชุม The First World Conference on Urine Therapy เมื่อค.ศ.1996 ที่อินเดีย และใน 3 ปีต่อมา มีการประชุม The Second WorldConference on Urine Therapy ที่เยอรมัน ใน ค.ศ.1999 การประชุมทั้ง 2 ครั้งมีทั้งนักวิทยาศาสตร์และแพทย์เข้าร่วมประชุม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าศาสตร์โบราณที่เกือบถูกลืมเลือนไปได้กลับมาเป็นที่สนใจของวงการสุขภาพระดับโลกอีกครั้งหนึ่ง
การแพทย์ตะวันออกหลายชาติใช้น้ำปัสสาวะเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรคการแพทย์แผนจีนเชื่อว่าน้ำปัสสาวะของเด็กทารกเป็นยาบำรุงอย่างดีสำหรับคนผอมแห้งแรงน้อยเป็นตาลขโมยการแพทย์แผนไทยใช้น้ำปัสสาวะเป็นกระสายยาดองเภสัชสมุนไพรหลายชนิดอินเดียนิยมการดื่มน้ำปัสสาวะทั้งส่งเสริมสุขภาพและรักษาโรคซึ่งวิชาโยคะมีกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพกระบวนการหนึ่งเรียกว่า อมาโรลิซึ่งมีขั้นตอนการปฎิบัติอันละเอียดรอบคอบ เพื่อล้างพิษเป็นการรักษาโรคและเสริมสุขภาพได้อีกด้วย มักจะทำร่วมไปกับการอดเพื่อสุขภาพสำหรับประเทศญี่ปุ่นมี น.พ.เรียวอิจิ นากาโอะเป็นบุคคลสำคัญในการริเริ่มเผยแพร่ให้คนดื่มปัสสาวะในประเทศญี่ปุ่นผลงานที่สำคัญคือช่วยชุบชีวิตของคนป่วยที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์และสิ้นหวัง ได้พ้นทุกข์พบความสุขโดยไม่ต้องเสียเงินในการรักษา คือการใช้ปัสสาวะบำบัด
สถานภาพในประเทศไทยโดยทั่วไปยังไม่เป็นที่ยอมรับจะมีการใช้ปัสสาวะบำบัดเฉพาะในกลุ่มคนที่เชื่อเรื่องนี้เท่านั้น มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ดังนี้
แนวทางการศึกษา ศึกษาค้นคว้าข้อมูลในการบำบัดผู้ป่วยโดยปัสสาวะบำบัด หากลุ่มหรือสถาบันที่รักษาโดยใช้ปัสสาวะบำบัด และ วาง แนวทางการวิจัย
แนวทางการพัฒนา งานวิจัยระยะที่ 1 ศึกษากลุ่มเป้าหมาย (ใช้ปัสสาวะบำบัด)เป็นการศึกษาขั้นต้นโดยวางแนวทางการศึกษาดังนี้ แบ่งคน 2 กลุ่ม คือกลุ่มเป็นโรค (ยังไม่จำกัดโรค) และ กลุ่มคนปกติศึกษาโดยทำแบบสอบถามด้านความเชื่อเกี่ยวกับปัสสาวะบำบัดสาเหตุที่เลือกใช้และ ผลที่ได้รับหลังการใช้ สรุปผลงานที่ได้เป็นงานวิจัย
งานวิจัยระยะที่ 2 (อาจต้องดำเนินการในปีต่อๆ ไป)โดยนำผลที่ได้จากงานวิจัยระยะที่ 1คัดเลือกโรคที่รักษาโดยปัสสาวะบำบัดแล้วได้ผลดีมาศึกษาต่อ โดยมีแนวทาง คือ
1. ติดตามอาการหลังการใช้ปัสสาวะบำบัด
2. ใช้ยาแผนปัจจุบันร่วมด้วยหรือไม่
โดยติดตามผลเป็นรายเดือน ทั้งนี้อาจมีกลุ่ม Controlที่ใช้ปัสสาวะบำบัดแต่ไม่รักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน กับกลุ่มที่ใช้ปัสสาวะบำบัด ร่วมกับการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันเปรียบเทียบกัน และสรุปผลงานที่ได้เป็นงานวิจัยระยะที่ 2
งานวิจัยระยะที่ 3 ต่อเนื่องจากงานวิจัยระยะที่ 2 หากปัสสาวะบำบัดรักษาโรคได้ดีจริงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติก็ดำเนินการปรึกษานักวิจัยด้านเคมี เภสัชศาสตร์มาร่วมงานวิจัยต่อเนื่องว่ามีสารใดในปัสสาวะที่ช่วยรักษาโรคนั้นได้และอาจนำมาผลิตยาได้
แนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคจากผลสรุปของการวิจัยและได้ผลในการบำบัดแล้วในการเผยแพร่ให้ประชาชนให้ทราบควรให้ประชาชนได้ทราบรายละเอียดในการดื่มปัสสาวะบำบัด จำนวนขนาดที่ใช้ ปริมาณ การใช้มากหรือน้อยจะมีผลอย่างไรต่อสุขภาพของผู้ใช้น้ำปัสสาวะบำบัด
เอกสารอ้างอิง 1. สุวิชญ์ ปรัชญาปารมิตา, การแพทย์นอกระบบ 177ทางเลือกไปสู่สุขภาพ(กรุงเทพ:หจก.ภาพพิมพ์, 2541) หน้า 179-182.
2. บรรจบ ชุณสวัสดิกุล, วิทยาศาสตร์ว่าด้วยน้ำปัสสาวะบำบัดโรค(กรุงเทพ:สำนักพิมพ์รวมทรรศน์, 2546) หน้า 12-14, 18 , 34-37 , 40 , 60-62 , 69-71.
3. บัวใต้น้ำ, ท้าพิสูจน์ดื่มปัสสาวะรักษาโรค ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (กรุงเทพ : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ) หน้า18-19
4.
http://go.to/cool-health 5.
http://skepdic.com/urine.html 6.
http://shirleys-wellness-caf?.com 7.
http://healthlibrary.com 8.
http://paraisodelasalud.org ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
น้ำปัสสาวะเป็นยารักษาโรค